Sound – เสียง
ในการทดสอบนี้ทีมงานเลือกที่จะใช้ช่องต่อ USB เป็นช่องทางหลักในการทดสอบ เพราะเป็นช่องสัญญาณที่ให้ประสิทธิภาพสูงที่สุดและมีโอกาสโดนสัญญาณรบกวนน้อยที่สุด ตรงจุดนี้ทาง Klipsch ได้เขียนระบุไว้ในคู่มือด้วย ว่าให้โหลดไดร์เวอร์มาติดตั้งก่อนจะเสียบสาย เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามันจะสามารถทำงานได้อย่าง 100% ซึ่งสามารถเข้าไปโหลดได้ที่นี่ เลื่อนลงมาล่างสุดเลยนะครับ ที่เขียนว่า “The Three / The Sixes USB Driver”
มาลองทบทวนการจัดวางไดร์เวอร์ของตัวเครื่องอีกทีจากแผนภาพด้านล่างนี้ จะเห็นว่าทาง Klipsch เลือกวางวูฟเฟอร์ไว้ตรงกลาง ระหว่างไดร์เวอร์ฟูลเรนจ์สองข้าง จากนั้นที่บริเวณด้านข้างตัวตู้ จะประกบด้วยพาสซีฟเรดิเอเตอร์ทั้งสองฝั่ง ซึ่งเป็นเลย์เอ้าต์การจัดวางที่ลำโพงไร้สายหลายยี่ห้อนิยมใช้ เพราะลำพังแล้วตัววูฟเฟอร์อย่างเดียวน่าจะให้เสียงต่ำที่ไม่ลึกสะใจเท่าไรนัก การมีพาสซีฟเรดิเอเตอร์มาช่วยก็จะช่วยเพิ่มน้ำหนักและการกระแทกให้ดูเป็นลูกมากยิ่งขึ้น
จากทั้งหมดทั้งมวลด้านบนนี้ ผลักให้ Klipsch มีสุ้มเสียงที่ค่อนข้างโดดเด่น ไดร์เวอร์ฟูลเรนจ์สามารถถ่ายทอดเสียงกลางไปถึงแหลมได้อย่างนุ่มนวลโดดเด่น คือมีปลายเสียงที่ทอดตัวออกไปได้ไกลโดยยังคงความหวานฉ่ำของย่านความถี่เสียงกลางไว้
อย่างเช่นเพลง Dream A Little Dream – Laura Fygi ที่นอกจากเสียงของนักร้องนำที่ทำหน้าที่เสมือนเมโลดี้หลักแล้ว เราจะได้ยินเสียงกีต้าร์คลาสสิคที่คอยบรรเลงคอร์ดประคองเพลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งตัว The Three II สามารถถ่ายทอดเสียงร้องออกมาได้หวานน่าฟัง และยังคงให้รายละเอียดของเสียงกีต้าร์แบบครบครันไม่ตกหล่น
สำหรับย่านเสียงต่ำผมเลือกเพลงฟังก์ยุค 80 อย่าง Act Like You Know – Fat Larry’s Band มาทดสอบ เพราะตลอดเพลงเราจะได้ยินเสียงเบสเดินเป็นเมโลดี้อยู่ทั้งเพลงเรื่อย ๆ ไล่จากโน้ตสูงไปต่ำ โดยเสียงที่ขับออกมาผ่าน The Three II สามารถแยกแยะโน้ตแต่ละขั้นออกมาได้อย่างชัดเจน ไม่คลุมเครือ แรงปะทะเข้าถึงสัมผัสได้ไม่ยาก ช่วยส่งให้เพลงร็อคที่มีจังหวะเด่นอย่างเพลง Bullet to the head – Rage Against Machine ฟังสนุกโดยที่ไม่คาดคิดว่าจะถูกขับออกจากตู้ลำโพงเล็ก ๆ ตู้นี้
หลังฟังเพลงกันจนเอียนผมก็ได้มีโอกาสทดลองใช้งานมันเป็นลำโพงคอมพิวเตอร์ทั่วไปสำหรับเล่นเกมและดูหนังผ่านคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าคาแร็คเตอร์ที่ได้ก็ไม่แตกต่างจากการฟังเพลงสักเท่าไร อาจจะมีในเรื่องของเสียงเบสที่อาจจะครางหึ่งไปบ้าง อย่างฉากที่ Iron Man รวมพลังสู้กับธานอสครั้งแรกใน Avengers: Infinity War เสียงเบสที่ออกมาอาจจะไปรบกวนจังหวะพูดในบางครั้ง เนื่องจากบางฉากอาจจะมีเสียงโทนต่ำที่ดังต่อเนื่องเป็นต้น
Conclusion – สรุป
ต้องยอมรับว่าที่บรรดาสื่อต่างประเทศยกย่องให้ Klipsch The Three II เป็นลำโพงไร้สายอีกตัวหนึ่งที่น่าจับตามองไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด ด้วยดีไซน์วินเทจร่วมสมัยประกอบกับคุณภาพเสียงที่อยู่ในระดับที่ไม่น้อยหน้าใคร ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อแหล่งสัญญาณเกือบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth, USB หรือ AUX 3.5 มม. และยังมีภาค Phono ไว้สำหรับใช้งานกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงได้อีกด้วย ครบจบในตัวเดียวอย่างที่พวกเขาต้องการจริง ๆ
ความน่าเสียดายอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือทาง Klipsch เลือกที่จะตัดฟีเจอร์การเชื่อมต่อไร้สายผ่านสัญญาณ Wi-Fi ออก ทั้งที่รุ่นก่อนหน้าก็มีมาให้แบบครบครัน เพราะว่ามันมาพร้อมกับ DTS Play-Fi ที่ช่วยเราสตรีมเสียงแบบความละเอียดสูงไปได้แบบไม่มีการลดทอน
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาลำโพงไร้สาย ที่ดีไซน์ไม่ซ้ำซากเหมือนของใคร Klipsch The Three II จะเป็นหนึ่งในชื่อที่ต้องคิดถึง และควรจะพาตัวเองไปทดลองฟังเสียงของมันให้ได้ เพราะถ้าเรื่องเงินเป็นอุปสรรคเพียงเล็กน้อยของคุณแล้ว ลำโพงไร้สายตัวนี้อาจจะย้ายกลับไปวางอยู่ที่บ้านคุณโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
ข้อดี
– ดีไซน์วินเทจย้อนยุค งานประกอบเนี๊ยบสมราคาหาตัวจับยาก
– คุณภาพเสียงโดดเด่นไม่แพ้ใคร กลาง,แหลม,ต่ำ ชัดเจน เวทีเสียงกว้างเกินตัว
– รองรับการเชื่อมต่อที่จำเป็นหลาย ๆ อย่าง ถ้าต่อผ่านสาย USB ได้จะให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด
ข้อเสีย
– อาจพบเห็นอาการเบสครางเก็บตัวช้าได้บ้างขณะรับชมภาพยนตร์ แนะนำว่าอย่านำไปวางในมุมอับจนเกินไป
– ตัดการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ออก ทั้งที่รุ่นก่อนหน้ายังมีมาให้
คะแนน
คะแนน Klipsch The Three II
8.5
สนใจสินค้าติดต่อ Sound Republic (บริษัท โฮม ไฮ ไฟ จำกัด)
สำนักงานใหญ่และศูนย์บริการ (ตรงข้ามสายใต้ใหม่): 284, 286 ถนนบรมราชชนนี แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170
Tel. 02-448-5489, 448-5465-6 Fax. 02-408-8172 www.facebook.com/soundrepublic.th