30 Nov 2018
Review

รีวิว Polk Audio MagniFi Max-SR ซาวด์บาร์ไร้สาย 5.1 Ch รองรับ Dolby Digital ถูกใจคอหนัง Netflix


  • TopZaKo

Features – ลูกเล่น

หน้าตาแอป Google Home บน iOS

ลูกเล่นอย่างหนึ่งที่ต้องโดนใจสำหรับสายฟังเพลงสตรีมมิ่งในยุคนี้ ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ Google Chromecast ซึ่ง MagniFi Max-SR เครื่องนี้ก็ได้ทำการติดตั้งฟีเจอร์นี้มาในตัวให้ด้วย ส่วนการเชื่อมต่อ Wi-Fi ก็ต้องใช้แอป Google Home ในการเชื่อมต่อเช่นเดียวกัน โดยในการใช้งานครั้งแรกเราจะต้องทำการ Download แอปพลิเคชั่น Google Home (มีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android) มาทำตามขั้นตอนต่างๆ ตามที่แอปที่แนะนำจนเสร็จเราก็จะสามารถใช้งาน Chromecast ผ่านระบบ Network ในบ้านเราได้นั่นเองครับ

เมื่อทำการ Set Up Sound Bar เข้ากับระบบ Internet ในบ้านเรียบร้อยแล้วก็พร้อมใช้งาน

Sound – เสียง

รับฟังคลิปเสียงจริงของ Polk Audio Magnifi Max-SR ที่คลิปนี้ได้เลย

มาถึงในส่วนที่ทุกท่านๆ รอคอยกันแล้วนั่นคือ Part ของเสียงนั่นเองครับ โดยในสเปกของ MagniFi Max-SR นั้นระบุไว้ว่ารองรับสัญญาณเสียงแบบ Dolby Digital และ DTS ได้ ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานจริงในยุคปัจจุบัน แต่ว่าแนวเสียง และ การใช้งานจริงของ Sound Bar รุ่นนี้จะออกมาเป็นอย่าไรหละ มาเริ่มทดสอบกันเลย

***ข้อแนะนำ : ในการ Set Up ลำโพง Surround ของ Sound Bar รุ่นนี้ไม่แนะนำให้วางหันเข้าหาหูเราแบบตรงๆ ให้วางทำองศาเฉียงเข้าหูของเราจากด้านหลังเหมือนรูปด้านบนนี้จะให้เสียงที่ดีกว่าครับ***

โหมดเสียงต่างๆ ของ Polk Audio MagniFi Max-SR นั้นมีทั้งหมด 3 โหมดประกอบไปด้วย

1.   โหมด Movie หรือ ภายนตร์ : ในโหมดนี้จะเป็นโหมดเดียวที่ Out Put เสียงออกมาแบบ 5.1 Ch แท้ๆ เหมาะกับเวลารับชมคอนเทนต์ที่ เสียง เป็นแบบ Multi-Channel ส่วนแนวเสียงของโหมดนี้จะออกแนวจัดจ้านทุกย่านเสียง แต่จะเน้นย่านเสียงเบสเป็นพิเศษ เพื่อให้ดูหนัง ได้ อย่างสนุกสนาน เข้าถึงภายนตร์ได้เป็นอย่างดี

2.   โหมด Sport หรือ กีฬา : โหมดนี้จะเน้นย่านเสียงกลางและเสียงแหลมเป็นพิเศษ เพื่อช่วยเพิ่มความชัดของเสียงพูด เสียงพากย์ในสนาม เสียงกองเชียร์ต่างๆ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น

3.   โหมด Music หรือ เพลง : เสียงของโหมดนี้ค่อนข้างจะออกมาตามจริงมากที่สุด ไม่มีการปรุงแต่งในส่วนของเนื้อเสียงสักเท่าไหร่ แต่ใน รูป แบบการฟังนั้นจะแบ่งย่อยออกเป็นทั้งหมด 2 แบบ

– แบบที่ 1 (ไฟสถานะจะขึ้นทั้งหมด 6 ดวง) จะเป็นการจำลองเสียงจาก 2 Ch ให้เป็น 5.1 Ch ซึ่งจะให้เสียงร้องดังมาจากตรงกลางของ Sound Bar ส่วนซ้าย/ขวา และ ลำโพง Surround จะเป็นบรรยากาศเสียงดนตรีโอบล้อมเรา   – แบบที่ 2 (ไฟสถานะจะขึ้นทั้งหมด 4 ดวง) จะเป็น แบบ All Channel Stereo ซึ่งเสียงร้องจะส่งนำมาออกที่ลำโพง Surround ด้วย ซึ่งแบบนี้จะให้เนื้อเสียงที่ชัดเจนกว่าแบบที่ 1 ครับ

ในส่วนของการทดสอบการรับชมภายนตร์และคอนเสิร์ตจาก Content แบบ Multi-Channel ผมเลือกใช้โหมดเสียง Movie ในการทดสอบเนื่องจากโหมดนี้จะให้เสียงแบบ 5.1 Ch ไม่มีการปรับแต่ง

เรื่องแรกผมได้ทำการหยิบภาพยนตร์ในตำนานที่ทำรายได้สูงสุดในโลกอย่าง AVATAR มาทดสอบ โดยฉากที่ใช้จะเป็นฉากที่พระเอกหลงอยู่ในป่าตอนกลางคืน จะมีเสียงบรรยากาศของป่ายามค่ำคืน มีเสียงแมลง เสียงหมาป่าเห่าหอนอยู่ไกลๆ แล้วหมาป่าก็ค่อยๆ ย่องเข้ามาด้านหลัง จนเกิดการต่อสู้กัน เสียงที่ได้จาก Sound Bar ตัวนี้ทำออกมาได้ดีพอสมควร ช่วงที่มาป่าค่อยๆ มาด้านหลัง Sound Bar ตัวนี้ก็สามารถสร้างบรรยากาศเสียงโอบล้อมได้ดี ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับลำโพง Surround ไร้สาย SR1 ที่สามารถให้เสียง Surround ได้แบบแท้ๆ เพิ่มอรรถรสในการดูหนังจาก Sound Bar ได้อย่างเต็มอารมณ์

มาต่อกันที่ภายนตร์เรื่อง The Greatest Show Man เป็นภาพยนตร์เพลงที่เสียงดีอีกเรื่องหนึ่งเรื่องเลยทีเดียว ฉากที่ใช้ทดสอบจะเป็นฉากตอนเปิดเรื่องเลย เป็นฉากที่กลุ่มคนในคณะละครสัตว์กระทืบเท้าพร้อมกันเป็นจังหวะเพลง เสียงเบสจาก Subwoofer ในฉากนี้ทำออกมาได้ทรงพลังพอสมควร เสียงดนตรีต่างๆ ในฉากนี้ก็ทำออกมาได้ชัดเจน แม้ว่าอาจไม่ชัดเจนเท่าชุดเครื่องเสียงแยกชิ้นแต่ก็สามารถทำให้เราสนุกไปกับบทเพลงในภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี แต่ในระหว่างรับชมฉากนี้อยู่ผมรู้สึกว่าเสียงร้องนั้นเบาไปสักนิดนึง ผมเลยกดปุ่มเพิ่มเสียง Voice ที่รีโมทเพื่อทำการเพิ่มเสียงร้องให้ดังขึ้นมาในระดับที่พอดี ตรงนี้ต้องขอชมเชยถึงระบบ Voice Adjust เป็นอย่างมาก เพราะทำให้สามารถปรับแก้ไขเสียงที่เบาตรงจุดนี้ได้อย่างง่ายดาย ไม่ยุ่งยาก

ต่อมาผมได้ทำการทดสอบการรับชมภาพยนตร์จากแอปสตรีมมิ่งยอดนิยมอย่าง Netflix เรื่อง Bright ฉากที่นำมาทดสอบเป็นฉากการไล่ล่าระหว่างพระเอกและตัวร้ายในช่วงต้นๆ ของเรื่อง ซึ่งเสียงในฉากนี้เจ้า MagniFi Max-SR ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เสียงรถวิ่งด่วย เสียงเครื่องยนต์ เสียงรถมาในทิศทางต่างๆ ด้านหน้าด้านหลัง รวมถึงเสียงตอนที่ของตัวร้ายชนเขากับรถของคนที่จอดอยู่ข้างทาง ตัว Sound Bar หลักและลำโพง Surround สามารถโยนเสียงกันไปมาระหว่างลำโพงกันได้เป็นอย่างดี เสียงพูดค่อยกันระหว่างพระเอกและเพื่อนก็มีความชัดเจน  เสียงวัตถุต่างๆ กระทบกระแทกกันก็มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ดี เสียงเบสก็มีน้ำหนักที่ดี ให้อารมณ์ได้ใกล้เคียงชุดเครื่องเสียงแยกชิ้นเลยทีเดียว

ดูหนังกันไปหลายเรื่องแล้วที่นี้มาลองดูคอนเสิร์ตกันบ้าง จากแผ่น Where The Light Is John Mayer Live In Los Angeles โดยใช้เพลง Vultures ซึ่งเป็นเพลงจังหวะสนุกๆ MagniFi Max-SR นั้นก็ให้เสียงออกมาได้ดี เสียงกีตาร์ เสียงร้องอันทรงพลัง เสียงจังหวะกลอง ทำให้เรารู้สึกสนุก เผลอขยับตัวไปกับจังหวะเพลงได้ดีทีเดียว ถือว่าสอบผ่านครับ

ทดสอบการรับชมภาพยนตร์และคอนเสิร์ตกันไปแล้ว ที่นี้เรามาทดสอบกันฟังเพลงกันดูบ้างดีกว่าเสียงที่ได้จาก Sound Bar เครื่องนี้เป็นอย่างไร โดยในการทดสอบจะใช้โหมด Music โหมดที่ 2 ในการทดสอบครับ

เริ่มทดสอบจากการสตรีมมิ่งเพลงจากแอป Spotify ผ่าน Google Chromecast โดยเลือกใช้เพลงฮิตติดชาร์จในช่วงนี้อย่าง เพลง ลาลาลอย (100%) ของ The Toy เสียงที่ได้จาก MagniFi Max-SR คือ เสียงร้องมีความชัด เบสออกแนวนุ่มนวลแต่มีมวลใหญ่พอสมควร เสียงแหลมไม่จัดจ้านมากเกินไป โดยรวมถือว่าฟังได้สบายๆ ฟังได้ยาวๆ ครับ

ต่อมาผมได้เปลี่ยนการเชื่อมต่อเป็น Bluetooth กับ iPhone X ของผมโดยเปิดเพลงผ่าน Apple Music ทีนี้เรามาลองกับเพลง Dance จังหวะสนุกๆ กันดูสักหน่อยกับเพลง Taki Taki ของ DJ Snake เสียงที่ได้ออกมานั้นถือว่าดีเลยทีเดียว เสียงแร๊พ เสียงจังหวะเครื่องเคาะต่างๆ มีความชัดเจน บวกกับเสียงเบสที่มีมวลค่อนข้างใหญ่ ทำให้ผมเผลอโยกหัวตามได้เลยทีเดียว

หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงอยากรู้ว่าในเมื่อ Sound Bar ตัวนี้ฟังเพลงทั่วไป เพลงสนุกสนาน ออกมาได้ดี แล้วถ้าเป็นเพลงช้าๆ แนว Acoustic หละจะเป็นอย่างไร จึงหยิบเพลง When You Say Nothing At All ของ Susan Wong มาทดสอบ เสียงโดยรวมออกแนวชัดเจน แต่เสียงร้องนั้นเบาไปเล็กน้อย แต่จุดนี้เราสามารถเพิ่มความดังเสียงร้องได้ที่รีโมท หรือ บนตัว Sound Bar ที่ปุ่ม Voice ได้ โดยรวมสำหรับเพลงแนวนี้ถือว่าอาจจะสู้ลำโพงสำหรับฟังเพลงโดยเฉพาะไม่ได้ แต่ถือว่าทำได้ดีสำหรับลำโพง Sound Bar อเนกประสงค์ ที่ความสามารถครบครัน

สรุป ในเรื่องเสียงของ MagniFi Max-SR ตัวนี้ เสียงออกแนวชัดเจน นุ่มนวล เนื้อเสียงโดยรวมมีน้ำหนักที่ดี เสียงแหลมมีความชัดในระดับนึงแต่ไม่ถึงกับจัดจ้าน เสียงกลาง เสียงพูดในภาพยนตร์ เสียงร้อง มีความชัดแต่อาจโดนเสียงเบสบดบังไปบ้างในบางครั้้ง ก็สามารถเพิ่มความดังของเสียงพูดเสียงร้องได้ โดยใช้ฟีเจอร์ Voice Adjust ได้ ส่วนเสียงเบสค่อนข้างมีมวลที่ใหญ่แต่นุ่มนวล ซึ่ง Subwoofer นั้นให้เสียงที่ดีและค่อนข้างยืดหยุ่นในการติดตั้งวางในแต่ละจุดของห้องก็ยังคงให้เสียงที่ดีอยู่ ส่วนลำโพง Surround ในชุดนี้นั้นทำหน้าที่เสริมสนามเสียงให้โอบล้อมไดดี

โดยรวม MagniFi Max-SR ถือเเป็น Sound Bar ที่คุณภาพเสียงโดยรวมจัดว่าดี ทำให้การรับชมภาพยนตร์ คอนเสิตร์ ฟังเพลงต่างๆ นั้นสนุกสนานมากกว่ารับชมผ่านเสียง TV หลายเท่าเลยทีเดียวครับ

โหมดเสียงที่แนะนำเวลารับชมภาพยนตร์ คอนเสิตร์ หรือ Content ต่างๆ ที่บันทึกเสียงมาในรูปแบบ Multi-Channel แนะนำให้เลือกใช้โหมด Movie เพราะจะให้เสียงแบบ 5.1 Ch แท้ๆ ส่วนเวลาฟังเพลงแนะนำให้เลือกใช้เป็นโหมด Music ในแบบที่ 2 จะให้เสียงได้ใกล้เคียงแบบ 2 Ch มีน้ำมีนวลได้ดีครับ

Conclusion – สรุป

สรุป Sound Bar รุ่น MagniFi Max-SR นั้นเป็น Sound Bar ที่ถือว่าจัดเต็มอีกหนึ่งรุ่น ไม่ว่าจะเป็น ลำโพง Surround กับ Subwoofer แบบไร้สาย ที่ทำให้คุณสามารถติดตั้งได้ง่ายดายไม่ยุ่งยาก, มี HDMI ที่รองรับการ Pass Through ภาพแบบ 4K HDR พร้อมฟังก์ชั่น ARC ส่งสัญญาณเสียงจาก TVกลับมาที่ Sound Bar ได้เลยในสายเส้นเดียว ทำให้สามารถรับชมเสียงแบบ Dolby Digital จาก Netflix ได้อย่างดีเยี่ยม

รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย อย่าง Wi-Fi Bluetooth กับ Google Chromecast ที่สามารถส่งเพลงจากมือถือขึ้นไปเล่นบน Sound Bar ได้อย่างสะดวกสบาย แถมแนวเสียงนั้นถือก็ฟังสบาย แต่ก็ยังคงมีเนื้อเสียงเบสที่หนักนั่นทำให้เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดีครับ

ข้อดี
1.มาพร้อมลำโพง Surround และ Subwoofer แบบไร้สาย ขนาดเล็ก สามารถ Sync กันได้แบบอัตโนมัติเพียงแค่เปิดเครื่อง
2.มีฟีเจอร์ Voice Adjust ที่สามารถปรับความดังของเสียงพูดหรือเสียงร้องได้อย่างง่ายดาย
3.รองรับ HDMI ARC เพียงแค่มี Smart TV เครื่องเดียวก็สามารถรับฟังเสียงแบบ Dolby Digital 5.1 จากแอป Netflix ได้แล้ว
4.รองรับ Bluetooth และ Google Chromecast สามารถฟังเพลงผ่านมือถือได้อย่างสะดวกสบาย

ข้อเสีย
1.ในโหมดเสียง Movie หรือ ภายนตร์ เสียงเบสจะมีความกระแทกกระทั้นมากขึ้นทำให้ไปบดบังเสียงพูดเล็กน้อย แต่ก็สามารถเพิ่มความดังของเสียงพูดได้ด้วยฟีเจอร์ Voice Adjust
2.ลำโพง Surround เป็นแบบไร้สายก็จริง แต่ยังคงต้องเสียบปลั๊กไฟโดยตรง
3.ไม่มีหน้าจอแสดงผลบนตัวเครื่องแต่ก็มีไฟสถานะมาทดแทน

คะแนน

ดีไซน์ (Design)
8.00
เสียง (Sound)
8.00
ลูกเล่น (Features)
8.00
การเชื่อมต่อ (Connectivity)
8.50
ความคุ้มค่า (Value)
8.00
คะแนนตัดสิน (Total)
8.10

คะแนน Soundbar Polk Audio MagniFi Max-SR

8.1