ถึงจุดเด่นของเราแล้ว นั่นก็คือภาพ 3D แบบ Polarized !! หรือที่ LG เรียกว่า Cinema 3D ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นคือ ใช้แว่นน้ำหนักเบา ไม่ต้องใช้แบตเตอร์รี่ และภาพไม่กระพริบครับ ในปีนี้ก็ยังเพิ่มรุ่นเข้ามาอีกมากมายจากเดิมปี 2011 ที่มีแค่ 3 รุ่น คือ LW4500 , LW5700 , LW6500 แต่ในปี 2012 นี้จะเป็นรหัส LM ทั้งหมด 9 รุ่น ตั้งแต่ LM3410 , LM4610, LM5800 , LM6200 , LM6700 , LM6690 , LM7600 , LM8600 , LM9600 ครับ ในการใช้งานระบบ 3D ก็สามารถเลือกโหมดความลึกแบบสะใจวัยรุ่นสูงสุดคือ Extreme ที่ให้ภาพลอยมาเตะตาสุดๆ ทั้งนี้การลอยลึกของภาพ 3D ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ด้วย ต่อให้ทีวีภาพดีแค่ไหนก็คอนเทนต์ไม่ดี เราก็ไม่อาจเห็นศักยภาพสูงสุดได้ ตัว LM7600 รองรับ 3D ทุกรูปแบบทั้ง Full Frame // Side By Side // Top and Bottom ทั้งยังสามารถแปลงคอนเทนต์ต่างๆให้เป็น 3D ได้อีกด้วย
ข้อดีของ Cinema 3D ก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่คือความโดดเด่นในด้าน 3D ที่ดูแล้วสบายตา เช่นเดียวกับโรงภาพยนตร์ที่ใช้กันทั่วไป แต่ข้อเสียที่ควรทราบเอาไว้คือมุมมองในการรับชม ถ้ามองจากระดับที่อยู่สูงไปหรือต่ำไป ก็มี CrossTalk ให้เราเห็นกันอยู่ แก้ปัญหาได้ด้วยการปรับระดับทีวีให้อยู่แนวเดียวกับสายตาของเรา ส่วนมุมมองในด้านข้างไม่มีปัญหาอะไรครับ ระยะการรับชมที่แนะนำสำหรับจอขนาดใหญ่ควรถอยห่างประมาณ 3 เมตรขึ้นไป รับชมในห้องที่คุมแสงได้ ( แถมด้วยโซฟานุ่มๆ ป็อปคอร์นและโค้กอีกแก้ว จะดีที่สุด ) แต่โดยรวมแล้วถ้าจัดอันดับคะแนนก็ถือว่ามีคุณภาพที่โดดเด่นน่าเล่นที่สุดอยู่ดีครับ
Dual Play เป็นอีกหนึ่งความสามารถที่น่าสนใจไม่แพ้กัน สำหรับ LG Cinema 3D ปี 2012 นี้ มันคือฟังก์ชั่นที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเกมส์พร้อมกันสองคน โดยได้รับภาพที่เต็มจอ ไม่มีการแบ่งครึ่งอีกต่อไป ผ่านการสวมแว่น Cinema 3D แบบพิเศษ ซึ่งจริงๆแล้วใช้หลักการของ 3D Polarized มาช่วย คือการแบ่งเส้นเลขคู่เข้าตาซ้ายและเส้นเลขคี่เข้าตาขวา ( โดยแว่น A ใช้เลนส์ Polarized ของด้านซ้ายทั้ง 2 อัน คนที่สวมก็จะได้ภาพแต่เส้นเลขคู่ และแว่น B จะใช้เลนส์ Polarized ของด้านขวาทั้งสองอันคนที่สวมก็จะได้ภาพของเส้นเลขคี่ ) ยกตัวอย่างเช่นเกมส์ยิงปืนแนว FPS หรือเกมส์แข่งรถต่างๆ
เสียง
ระบบเสียงของ LG LM7600 ตามสเปคคือมีลำโพงสองตัว ข้างละ 10W แต่ก็ให้เสียงออกมาเป็นที่น่าพอใจกว่าทีวีรุ่นระดับกลางตัวอื่นๆ โหมดเสียงมีให้เลือกคือ Music / Cinema / Sport / Game / Standard / Vivid แต่ละโหมดจะให้ความต่างที่ชัดเจน โดยส่วนตัวผมชอบแบบ Standard เพราะให้เสียงที่ฟังดูไม่โอเวอร์และเป็นเสียงที่สะอาด แต่ถ้าอยากได้เบสเพิ่มขึ้นมาก็แนะนำเป็นโหมด Music ครับ ส่วนระบบ Surround อย่าง Virtual Surround ก็ต้องใช้ให้เหมาะกับตำแหน่งการวางของทีวี ( คือมีระยะห่างพอประมาณเพื่อให้เสียงสะท้อนกำแพงโอบล้อม ) แต่เนื่องจากข้อจำกัดของสถานที่ของบางท่าน อาจจะเลือกปิดโหมดนี้ไปก็ได้ครับ เพื่อให้เสียงที่ไม่หลอกหู ตัวทีวีสามารถเลือก Sound Optimizer ได้ว่าเป็นแบบ “ตั้งโต๊ะ” หรือ “แขวนผนัง” และสุดท้ายคือตัวทีวีรองรับ Digital Audio Out อย่าง Optical ด้วยครับ
เพิ่มเติม
ลูกเล่นเพิ่มเติมอย่างแรกที่ขาดไม่ได้สำหรับทีวีเกือบทุกรุ่นในปัจจุบันคือการเล่นไฟล์ผ่าน External Harddisk 2.5 USB 2.0 ซึ่งวิธีการใช้งานนั้นเพียงเชื่อมต่อเข้าไปด้านหลังทีวีเราก็สามารถเลือก Drive ที่อยู่ใน Harddisk ได้ด้วยการกดปุ่ม Input บนรีโมท โดยรองรับทั้งไฟล์หนัง Hi-Def ( MKV ) ไฟล์เพลงอย่าง MP3 , Wave และไฟล์รูปภาพพื้นฐาน JPEG
จุดเด่นของ LG คือฟังก์ชั่น Smart TV ที่ผมกล้าฟันธงเลยว่าความสามารถอยู่ในอันดับต้นๆเลยทีเดียว โดยเฉพาะคอนเทนต์ต่างๆ ที่ใช้งานได้จริงพวก Local Content อย่าง Mthai ,The Nation , Major Cineplex , You2Play และ Global Content โดยในปีนี้ก็พัฒนาหน้าตาของ Home DashBoard 2.0 ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น แบ่งตามสัดส่วน สามารถปรับตั้งแอพที่ใช้งานบ่อยๆเอาไว้ได้ โดยเฉพาะการจับคู่กับรีโมทสุดอัจฉริยะ Magic Remote รุ่นใหม่ ที่เพิ่มปุ่ม Scroll Wheel ขึ้นมา ( ลูกกลิ้งเหมือนที่อยู่บนเม้าส์ ) ช่วยให้การเข้าเว็บบราวเซอร์ใช้งานได้ง่ายขึ้นเยอะทีเดียว ซึ่ง LG LM7600 ตัวนี้รองรับ Wi-Fi Built-In หรือจะใช้สาย LAN เสียบเข้าด้านหลังตัวเครื่องก็ได้เช่นกันครับ
เป็นอีกหนึ่งความสามารถที่คนทั่วไปน่าจะรู้จักกันดีที่สามารถเลือกแชร์ไฟล์จากโน้ตบุ๊คหรือโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่ออยู่ในวง LAN เดียวกัน มาแสดงบนจอทีวีได้เลยครับ ยกตัวอย่างเช่นผมลองใช้โปรแกรม iMedia Share ในโทรศัพท์มือถือ และเชื่อมต่อ Wi-Fi เอาไว้ ผมก็สามารถเลือกไฟล์จากในโทรศัพท์มือถือมาเล่นบนทีวีได้เลย เพียงเข้ามาที่ฟังก์ชั่น Smart Share บนทีวีและเลือก Device ให้ถูกต้อง มาดูตัวอย่างในรูปด้านล่างกันเลย !!