ภาพ
ในรุ่นนี้ Sony ยังคงเลือกใช้ 4K WRGB OLED Panel เช่นเดียวกับ A1 รวมไปถึงส่วนประกอบสำคัญอย่างชิพประมวลผล X1 Extreme จึงไม่แปลกที่ศักยภาพด้านภาพ แทบจะเหมือนกับรุ่น A1 พิสูจน์ได้ด้วยผล Lab Test
โหมดภาพโรงงานเมื่อรับชม SDR Content เหมือนกับ A1 ทุกประการ เช่นเดียวกับผลลัพธ์ก็เรียกว่าใกล้เคียงจนแทบแยกไม่ออก แต่ถึงกระนั้น Sony ได้ทำการเพิ่มเติมอีกหนึ่งตัวเลือกโหมดภาพให้กับรุ่นใหม่ 65A8F โดยตั้งชื่อเรียกว่า “Dolby Vision” อย่าเพิ่งสับสนกับการแสดงผลเมื่อรับชม Dolby Vision HDR content เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกันครับ ตัวเลือกโหมดภาพ Dolby Vision ที่ใช้กับ SDR Content นี้ เรียกว่าเป็นการ “จำลองโทนสีภาพ” อีกรูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับโหมดภาพโรงงานอื่นๆ นั่นเอง
โหมดภาพที่สามารถใช้อ้างอิงในแง่ความถูกต้องของสีสันที่ใกล้เคียงมาตรฐานอุตสาหกรรมภาพยนตร์ (SDR) มีอยู่หลายโหมด ทั้ง Cinema Pro, Cinema Home ฯลฯ ไปจนถึง Game และ Graphics (2 โหมดนี้ เหมาะใช้งานเมื่อเชื่อมต่อ Game Console หรือ PC) โดยอุณหภูมิสีวัดได้อยู่ที่ราว 6400K ในหลายๆ โหมดภาพ อันเป็นผลจากตัวเลือก Color Temperature = Expert1 ความเที่ยงตรงนับว่าอยู่ในเกณฑ์ดีตามมาตรฐาน Sony
ผลลัพธ์ภายหลังคาลิเบรทพบว่า ได้สมดุลสีดีเยี่ยม ค่าความผิดเพี้ยน (dE) ลดต่ำลงเหลือเพียง 1.90 เท่านั้น และถึงแม้ Sony จะไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทำการไฟน์จูนในส่วนของ Color Management System (CMS) เช่นเคย ทว่าด้วยความเชี่ยวชาญของวิศกรออกแบบระบบ หากทำการไฟน์จูนค่าภาพในจุดอื่นจนเที่ยงตรงดีแล้ว ผลลัพธ์จะส่งผลให้ CMS ดีขึ้นตามไปด้วยจนอาจไม่มีความแตกต่างจากทีวีรุ่นที่สามารถปรับ CMS แบบละเอียด ซึ่งขอบเขตสี (Color Space) ของ 65A8F ขณะรับชม SDR Content จะทำได้ครอบคลุม 99.6% (Pre) – 99.9% (Post) เมื่ออิงมาตรฐาน Rec.709/sRGB
อีกหนึ่งความยอดเยี่ยมของชิพประมวลผล X1 Extreme คือ “ภาพเคลื่อนไหว” ที่ทำได้ไหลลื่นเป็นธรรมชาติดีมาก และกรณีที่ต้องการแทรกเฟรมเพิ่ม สามารถดำเนินการผ่านตัวเลือก Motionflow โดยระดับ True Cinema ดูเป็นธรรมชาติใกล้เคียงต้นฉบับ แต่หากต้องการความไหลลื่นเพิ่มมากขึ้น Standard ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นเดียวกัน (artifacts น้อยมากสำหรับปริมาณการแทรกเฟรมเพิ่มระดับนี้) หรือจะกำหนดระดับของโมชั่นแบบละเอียดเลยก็ได้ที่ตัวเลือก Custom
มาดูศักยภาพด้านการแสดงผล HDR Content ของ A8F ดูบ้าง ภายหลังอัพเดทเฟิร์มแวร์ล่าสุด (มิ.ย. 61) รุ่นนี้รองรับครบทั้ง HDR10, HLG และ Dolby Vision โดยโหมดภาพที่แนะนำสำหรับการรับชม HDR10 หากอิงเรื่องของความบิดเบือนผิดเพี้ยนของสีสันต่ำที่สุด ยังคงเป็น Cinema Pro หรือ Cinema Home เช่นเคย ดุลสีจะติดอมเขียวนิดๆ เหมือนเวลารับชม SDR แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ในส่วนของระดับความสว่าง (HDR Peak Brightness; 10% Window) ของทั้ง 2 โหมดนี้วัดได้ราว 730 nits (ต่ำกว่า Vivid เพียงเล็กน้อย ที่ 752 nits แต่ให้สมดุลสีดีกว่า)
ที่พิเศษเห็นจะเป็นขอบเขตสีในโหมด HDR ที่ทำได้กว้างขวางทำลายสถิติทีวีในรุ่นปี 2017 โดย A8F ทำได้ครอบคลุม 99.6% DCI-P3 (Pre-cal) เลยทีเดียว (หย่อน 100% ไปนิดเดียวเท่านั้น) ผลลัพธ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หาก Sony จะส่ง A8F ไปสอบเทียบ ก็คงผ่านมาตรฐาน “Ultra HD Premium” ได้สบาย ไม่เป็นที่กังขาใดๆ