Picture – ภาพ
เรื่อง สเปคด้านภาพ ของ AVR เครื่องนี้ก็จัดเต็มเช่นเดียวกัน รองรับการส่งผ่านสัญญาณภาพแบบ Pass-through ได้สูงสุดในรูปแบบ 4K HDR 60Hz รองรับสัญญาณ HDR ทั้งในรูปแบบ HDR10, HLG รวมถึง HDR ขั้น Top สุดอย่าง Dolby Vision อีกด้วย
ข้อแนะนำเพิ่มเติม : สำหรับใครที่มีปัญหาไม่สามารถส่งผ่านสัญญาณภาพแบบ 4K HDR 60Hz ให้ทำการเปลี่ยนโหมดของ HDMI โดยให้กดปุ่ม Home Menu ที่หน้าเครื่องค้างเอาไว้ แล้วกดปุ่ม Personal Preset 3 ทีด้านหน้าตัวเครื่องเพื่อเปลี่ยนจากโหมด HDMI 4K Normal เป็น HDMI 4K Enhanced ก่อนถึงจะใช้งานได้ครับ
Conclusion – สรุป
AVR ทั้ง 2 รุ่นไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ใหญ่อย่าง VSX-LX504 หรือ VSX-LX304 ก็ให้คุณภาพของเสียงที่เรียกว่าดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแนวเสียงที่มีความคมชัด แต่ไม่ได้จัดจ้านมากเกินไป มีความหวานของเสียงนิดๆ ฟังเพลงช้าก็ดี ฟังเพลงเร็วก็ได้ ในส่วนของการดูหนังก็ให้เสียงรอบทิศทางจากลำโพงต่างๆ ทำงานสอดประสานกันได้อย่างลงตัว รองรับระบบเสียง 3 มิติ Immersive ที่นิยมในปัจุบันอย่างครบครัน ทั้ง Dolby Atmos กับ DTS:X
รองรับมาตรฐานภาพและเสียงแบบใหม่อย่าง IMAX Enhanced, สามารถส่งผ่านภาพ Pass-through ได้สูงสุดถึง 4K HDR 60Hz, มีฟีเจอร์ Auto-Setup อย่าง MCACC Advanced ที่ใช้งานง่าย ให้ผลลัพธ์ออกมาดีพอสมควร หรือจะเลือกปรับแต่ง Set-Up เองอย่างละเอียดก็ทำได้, รองรับการฟังเพลงผ่านระบบไร้สายจากมือถือกับแอปสตรีมมิ่งต่างๆ เช่น Spotify, Tidal, AirPlay รวมถึงรองรับการเล่นไฟล์เพลงได้ถึงระดับ Hi-Res
จากคำแนะนำของผมหากใครที่มีงบถึงผมก็แนะนำให้เลือกใช้เป็นรุ่นพี่ใหญ่อย่าง VSX-LX504 ไปเลยจะดีที่สุดครับ นอกจากจะได้กำลังขับ และพลังเสียงที่มากกว่าแล้ว ยังมีช่องต่อ Pre Out ให้สามารถต่อยอดอัพเกรดระบบเสียงในอนาคตได้ ส่วนใครที่มองว่าตัวเองไม่ได้เล่นลำโพงที่มีขนาดตัวใหญ่โต กินกำลังขับสูงๆ ก็สามารถเลือกเล่นรุ่นรองลงมาอย่าง VSX-LX304 ได้เช่นกัน ซึ่งก็สามารถตอบสนองเรื่องคุณภาพออกมาได้ดีไม่แพ้กันแถมยังมีฟีเจอร์ที่จัดเต็มไม่แพ้รุ่นใหญ่เลยด้วยเช่นกัน
ราคาเปิดตัวของ VSX-LX504 อยู่ที่ 65,900 บาท
ราคาเปิดตัวของ VSX-LX304 อยู่ที่ 45,900 บาท