15 Aug 2017
Review

จอโค้ง…คุ้มค่า !!! รีวิว Samsung 55MU6300 4K Curved TV มีช่องเกาหลีให้ดู..ฟรี !


  • lcdtvthailand

ภาพ

Samsung UA55MU6300 เป็นทีวีความละเอียด 4K Ultra HD มีจำนวนพิกเซลเท่ากับ 3840 x 2160 หน้าจอเป็น VA รองรับมาตรฐานภาพ HDR10 โครงสร้างการวางหลอดไฟ LED Backlight เป็นแบบ Direct LED แต่ไม่ได้มีฟีเจอร์ Local Dimming เหมือนรุ่นสูงๆ มีโหมดภาพสำเร็จรูปอย่าง Dynamic, Standard, Natural และ Movie ซึ่งโหมด Movie ที่แปลว่า “ภาพยนตร์” นี่แหละให้ค่าแสงสีได้ค่อนข้างถูกต้องเป็นธรรมชาติทั้งภาพแบบ HDR และ SDR 

โหมดภาพสำเร็จรูป Movie คือโหมดที่ให้ค่าแสงสีได้ค่อนข้างเที่ยงตรงสุด จึงเลือกใช้โหมดนี้ในการปรับภาพและทดสอบ

ในส่วนของลูกเล่นด้านภาพมีของแถมคือโหมด HDR+ เป็นการจำลองยกระดับภาพ SDR ธรรมดาให้มีเอฟเฟกต์ HDR ขึ้นมา ภาพจะสว่างสดเด้งขึ้นมาทันใด ซึ่งสามารถใช้กับพวกคอนเทนต์ดิจิตอลทีวีทั่วไปได้ด้วย ทว่าผมแนะนำหากดูคอนเทนต์ SDR ก็มิจำเป็นต้องอัพภาพให้เป็น HDR แต่อย่างใดเพราะคอนเทนต์ต้นฉบับมันมิใช่ หากเป็นการปรุงแต่งเพิ่มอรรถรสเท่านั้น สุดท้ายคือมีฟีเจอร์ Motion Plus ตัวช่วยแทรกเฟรมภาพเพื่อช่วยภาพเคลื่อนไหวให้ลื่นไหลขึ้น

HDR = High Dynamic Range สัญญาณภาพชนิดใหม่ที่ให้ระดับความสว่างและความดำที่ดีขึ้น จึงส่งผลให้สีสันมีความสดใสเจิดจรัส มักจะอยู่ในหนังความละเอียด 4K

SDR = Standard Dynamic Range สัญญาณภาพชนิดทั่วไป เช่นคอนเทนต์ 1080 แบบเดิมๆ ระดับบแสงสว่างและความดำอยู่ในเกณฑ์ปกติ เอฟเฟกต์แสงสีก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด้งเป็นพิเศษ

1) Pre-Calibration – SDR : ก่อนปรับภาพ SDR ค่าสมดุลแสงขาวหรือ White Balance ถือว่าพอใช้ได้ แต่ก็ยังไม่เข้าที่นักอยู่ดี ต้องปรับภาพเพิ่มเล็กน้อย
2) Post-Calibration – SDR : หลังปรับภาพ SDR หลังปรับทั้ง White Balance, ขอบเขตของสี CMS และ Gamma ให้ค่าทั้งหมดที่ดีและสมดุลยิ่งขึ้น ขอบเขตของสีครอบคลุมประมาณ 95% ของมาตรฐาน REC 709 ซึ่งเท่ากับประมาณ 73.3% ของมาตรฐาน DCI-P3 และความสว่างสูงสุดอยู่ประมาณ 310 fL อยู่ในระดับพอประมาณสำหรับทีวี 4K รุ่นเริ่มต้น
3) Pre-Calibration HDR : ก่อนปรับภาพ HDR ก่อนปรับภาพกราฟ White Balance และ Gamma ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
4) Post Calibration HDR – หลังปรับภาพ HDR หลังจากไฟน์จูนทั้ง White Balance, CMS และ เปิดฟีเจอร์ลับอย่าง Contrast Enhancer ให้ผลลัพธ์ที่เที่ยงตรงลงตัวมากขึ้น ความสว่างเพิ่มขึ้นด้วย ดู HDR ได้สนุกขึ้น ไม่อึดอัดเพราะภาพมืดทึม

เริ่มทดดสอบด้วยแผ่น 4K UHD Blu-ray Discs แบบ HDR แท้ๆก่อน หยิบเรื่อง X-Men : Apocalypse ขึ้นมาใช้ ฉากที่พระเอกหนุ่ม Cyclop ถอดแว่นตากระหน่ำยิงแสงเลเซอร์สีแดงฉานใส่ตัวร้ายเจ้า Apocalypse เจ้า MU6300 จัดเป็น 4K LED TV ตัวเริ่มต้นที่รองรับ HDR ฉะนั้นแบ่งตามเกรดแล้ว เรื่องพลังความเจิดจรัสนั้นอาจสู้ตัวท็อปๆอย่าง QLED TV มิได้ แต่ก็จัดอยู่ในเกณฑ์ “พอดีคำ” คือมีเอฟเฟกต์แสงให้เห็นพอชื่นใจอยู่บ้าง ไม่ได้พุ่งรุกเร้า จัดว่าสูสีเทียบเคียง 4K HDR LED TV รุ่นเริ่มต้นจากค่ายอื่นๆ แต่จะมีคาแรกเตอร์ภาพเฉพาะตัวคือ แนวภาพดูสบายตาตามสไตล์จอ VA สีสันและสีผิวของตัวละครเป็นธรรมชาติ ผนวกกับความสะอาดสะอ้านของภาพที่ทำได้ดีเป็นทุนเดิมแต่ต้น ทำให้การรับชมดูโล่งโปร่งสบาย 

ฉากที่ Cyclop ยิงแสงเลเซอร์สีแดงใส่ตัวร้ายเจ้า Apocalypse ดีกรีความเจิดจรัสของ HDR จะอยู่ในเกณฑ์พอดีคำ มิได้รุกเร้าเท่าตัวท็อป แต่ก็ไม่แพ้ 4K LED TV รุ่นเริ่มต้นจากทุกค่าย

ถัดมาทดสอบเรื่อง Star Trek : Beyond เอาไว้เช็คความถูกต้องของสีผิวของตัวละคร ซึ่ง MU6300 ถ่ายทอดภาพ 4K HDR ออกมาได้ค่อนข้างถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน สีเนื้อคือสีเนื้อ ไม่ได้ติดอมแดงอมเขียว ซึ่งอาการสีผิวเพี้ยนนักมักพบได้ตาม 4K TV รุ่นเริ่มต้นราคาประหยัดทั่วไป แต่มิใช่กับ MU6300 อย่างไรก็ตามผมขอย้ำอีกทีว่าต้องใช้โหมด Movie เท่านั้น ส่วนโหมดอื่นมีการจูนแสงสีให้จัดจ้านจนกร้านเกินจริงไปบ้าง เช่นโหมด Dynamic อันนี้ไม่แนะนำ 

แสงและเงาบนหน้าของ Quick Silver ที่อยู่ใจกลางสนามรบ
เช็คสีผิวพระเอกของพระเอกหนุ่ม Chris Pine จากเรื่อง Star Trek : Beyond
เรื่อง Magnificent Seven หนังคาวบอยที่มีโทนแสงสีย้อนยุคเล็กๆ แสดงให้เห็นความสะอาดและสมดุลภาพจาก MU6300

สุดท้ายทดสอบแผ่นหนัง 1080p Blu-ray เรื่อง X-Men 2 ภาพเคลื่อนไหวสามารถเปิด Auto Motion Plus ตัวช่วยแทรกเฟรมภาพเพื่อช่วยเรื่องภาพเคลื่อนไหว โดยระดับที่ให้ “ความพอดีที่สุด” ทั้งเรื่องความลื่นไหลโดยไม่ก่อให้เกิดวุ้นเรืองแสงวืบๆรอบตัวละครได้แก่ระดับ Custom พร้อมปรับ Judder Reduction ให้เป็น 3 เซ็ตอัพตามที่แนะนำได้เลยทั้งคอนเทนต์ HD / Full HD / 4K ส่วนอีกระดับคือ Auto จะก่อให้เกิดวุ้นเรืองแสงเวลาตัวละครเคลื่อนไหว….จึงไม่แนะนำ 

อีกหนึ่งลูกเล่น LED Clear Motion คือลูกเล่นในการแทรกเฟรมภาพสีดำระหว่างเฟรมภาพหลักเพื่อช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นปรื๊ดขึ้นแบบไร้การสะดุด ซึ่งเท่าที่ทดสอบดูก็ลื่นขึ้นจริง ภาพเคลื่อนไหวเนียนกริ๊งขึ้น แต่ทว่าระดับความสว่างก็จะลดฮวบฮาบลงไปพอสมควร ซึ่งการแสดงภาพ HDR นั้น ความสว่างมันเป็น “หัวใจหลัก” ผมจึงไม่ค่อยแนะนำให้เปิด LED Clear Motion เสียเท่าไหร่ 

สำหรับการรรับชมคอนเทนต์ HD / Full HD ทั่วไป ความคมชัดหรือค่า Sharpness หากใช้โหมด Movie จะถูกปรับลดเหลือ 0 ตั้งแต่ต้น ยิ่งดูคอนเทนต์ความละเอียด ภาพจะยิ่งแลดูนุ่มนวลจนติดกลมมนไปซักนิด จึงแนะนำให้ปรับระดับ Sharpness ให้สูงขึ้นเเป็นซัก 15-20 ภาพจะคมเข้มขึ้นเฉกเช่นอรรถรสการรับชมที่รับรองว่าจะสูงขึ้นตามอย่างพอดิบพอดีกัน

ปรับ Auto Motion Plus ตัวช่วยแทรกเฟรมภาพทำให้ภาพต้นฉบับ HD / Full HD แสดงบนจอความละเอียด 4K ได้ไหลลื่นเป็นธรรมชาติขึ้น ให้ปรับ Judder Reduction (ลดอาการสะดุด) = 3
ภาพจากคอนเทนต์ 1080p เรื่อง Journey 2 หากปรับระดับ Sharpness ในโหมดภาพ Movie ขึ้นเป็น 15-20 ภาพจะดูคมเข้มช่วยยกระดับการรับชม

Game Mode

สามารถลดค่า Input Lag จากโหมดภาพปกติซึ่งจะอยู่ประมาณ 81 ms ให้เหลือเพียง 19.3 ms เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า MU6300 ตัวนี้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งจอยได้ฉับไวมาก จึงเหมาะกับการเล่นเกมส์ (ตามมาตรฐานคือไม่ควรเกิน 40 ms = ดี) 

สรุปเรื่องภาพ

ภาพของ Samsung 55MU6300 มีความคล้ายคลึงกับ KU6300 ในปีที่ผ่านมา คุณภาพโดยรวมทั้งความสว่างและความดำรวมถึงสีสัน ก็อยู่ตำแหน่งซีรีส์ 6 นี่แหละ แต่หากให้เทียบภาพซีรีส์ 6500 ที่ราคาค่อนข้างสูงกว่า ก็ขอบอกว่า 6500 นั้นดีกว่าประมาณ 1 ขยักเต็มอยู่ดี อย่างไรก็ตามสำหรับการรับชมคอนเทนต์ 4K และ Full HD / HD ทั่วไปแล้ว เจ้า MU6300 ก็สามารถรับมือทุกคอนเทนต์ได้อย่างสบาย ซึ่งก็ต้องขอชมเชยการไฟน์จูนค่าแสงสีที่ค่อนข้างดีใช้ได้มาตั้งแต่โรงงาน ตลอดจนตัวช่วยอย่าง Auto Motion Plus แบบ Custom ก็ช่วยบรรเทาอากาอ่อนแรงในการแสดงผลภาพเคลื่อนไหวให้ดูสมูธเป็นธรรมชาติ ก็สรุปรวมๆได้ว่าคุณภาพของภาพสูสีในแบบที่ไม่แพ้ 4K LED TV รุ่นเริ่มต้นของชาวบ้าน ย้ำว่าให้ตั้งค่าภาพตามที่แนะนำเบื้องต้นไปเพื่อใช้ศักยภาพสูงสุดของทีวีไปในทางที่ควรจะเป็น  

สำหรับหน้าถัดไปไปดูการทดสอบเสียงและระบบ Smart TV กันต่อเลย !