ภาพ
เรื่องภาพถือว่าเป็นไฮไลท์ในพาร์ทรีวิวนี้เลย เพราะเจ้า UA65F9000 มีความละเอียดแบบ Ultra HD (UHD) 3840 x 2160 ผลรวมออกมาประมาณ 8.29 ล้านพิกเซล ละเอียดยิบจับใจ ถึงแม้ปัจจุบัน (เดือน 11 ปี 2013) ยังไม่มีคอนเทนต์ UHD เอามาดูด้วยก็ตาม ถึงจะมีก็มีแต่คอนเทนต์ทดสอบหน้าร้าน ซึ่งถ้าพูดกันตามเนื้อผ้านั้น การเล่นคอนเทนต์ UHD กับทีวี UHD มันจึงแสดงผลได้เต็มศักยภาพกว่าการนำเอาคอนเทนต์ความละเอียดแค่ Full HD มาเปิด ตัวหน้าจอเองก็ใช้ Ultra Clear Panel จอดำเงา..ใสดั่งกระจก ที่โด่งดังตั้งแต่ LCD TV รุ่น A650 ซัก 4-5 ปีที่แล้ว พร้อมชิพ 3D Hyper Real Enigine และชิพประมวลผลแบบ QuadCore พร้อมตัวช่วยอัพสเกลภาพความละเอียดจาก HD ให้เป็น UHD อีกหนึ่งจุดเด่นคือการใช้เทคโนโลยีหลอดกำเนิดแสงแบบ Edge LED พร้อมความสามารถในการทำ Local Dimming ได้ ทาง Samsung เรียกว่า Micro Dimming Ultimate (Local Dimming) โดยเราสามารถเลือกระดับความเข้มข้นในการใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ด้วยการเข้าไปเลือกที่ฟังก์ชั่น Smart LED ซึ่ง Edge LED TV รุ่นก่อนๆจะไม่มีให้ปรับ สุดท้ายคือระบบ 3D แบบ Active พร้อมแถมแว่นทรงบางเฉียบมาให้ 2 อันด้วยกัน
สัดส่วนภาพ : Picture Size
ก็เหมือนกับทีวี Full HD รุ่นปกติทั่วไป UA65F9000 มีสัดส่วนภาพให้เลือกสรรมากมาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดหากท่านต้องการความถูกต้องสมจริงในการดูหนัง HD ไม่ว่าจะจากเครื่องเล่น Blu-ray Player หรือ HD Player “Screen Fit” คือสัดส่วนภาพที่ท่านควรเลือกเพราะจะแสดงภาพจากต้นฉบับออกมาถูกต้อง พิกเซลต่อพิกเซล ไม่มีครอปด้านข้างให้หายไป หากเราดูเคเบิ้ลทีวีหรือพวกฟรีทีวีก็ให้เลือกสัดส่วนแบบ 16:9 ภาพก็จะเต็มจอสวยงาม

โหมดภาพสำเร็จรูป : Picture Mode
ในขณะที่โหมดภาพสำเร็จรูปนั้นประกอบไปด้วย Dynamic / Standard / Natural / Movie แนะนำว่าทีวี Samsung ไม่วาจะเป็น LED หรือ Plasma TV ต้องใช้โหมดภาพ “Movie” เท่านั้น ซึ่งจะแสดงสีค่อนข้างเที่ยงตรงสุด เป็นธรรมชาติ รายละเอียดครบถ้วน แถมดูสบายตาอีกต่างหาก ที่ผมชอบใจคือภาพจะไม่ได้ติดเหลืองมาก อุณหภูมิสีอยูู่ประมาณ 7000K++ ถึงแม้จะไม่ถูกต้อง 100% แต่ผมว่าโดนใจผู้ใช้งานจริงและก็ยังอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องอยู่พอสมควรด้วย เรียกว่าได้ 2 เด้ง ผมจึงใช้โหมดนี้ทดสอบรับชมรวมถึงปรับภาพขั้นสูงทั้ง White Balance และ Color Management System



Picture Mode | CTT | Gamma | Luminance |
avg | avg | FL | |
Dynamic | 19395 | 1.1 | 134.5 |
Standard | 10980 | 1.52 | 99.3 |
Natural | 11178 | 1.45 | 102.6 |
Movie | 7353 | 2.08 | 73.1 |
Calibrated (Movie) | 6467 | 2.25 | 49.3 |
จึงใช้ปรับภาพและทำการทดสอบในครั้งนี้
ทดสอบภาพ 2 มิติ
การทดสอบนั้นโดยหลักแล้วจะใช้คอนเทนต์ Full HD 1080p, แผ่น Blu-ray Mastered in 4K และ 4K UHD Content ที่ทาง Samsung เองใช้สาธิตหน้าร้าน เริ่มจากหนังคุ้นเคยก่อนอย่าง Journey 2 : The Mysterious Island เพราะผมเองเคยใช้เรื่องนี้ทดสอบทั้ง Sony KD-84X9000A และ LG 84LM9600 Ultra HD จอใหญ่ค่ายคู่แข่งมาแล้ว เนื้อภาพโดยรวมมีความสดใส เปิดกระจ่างใจตามสไตล์ Samsung ปัญหาคือความละเอียของหนังจะต่ำกว่าความละเอียดของจอถึง 4 เท่า ซึ่งแน่นอนว่าหากเราไม่สังเกตใกล้ๆจอทีวีก็จะพบถึงความไม่คมชัดบ้างซึ่งเป็นเรื่องปกติ และจุดนี้เป็นจุดที่ UHD TV โดนโจมตีอยู่บ่อยๆ แต่ทว่าหากมานั่งดูระยะซัก 2.5-3 เมตรขึ้นไปกลับไม่เห็นความต่างอย่างมีนัยยะ กล่าวคือภาพถือว่าดูได้ดูดีเหมือนทีวี Full HD ทั่วไป จอ Ultra Clear Panel ช่วยเสริมความอิ่มลึกของภาพได้ดีขึ้น สีสันบนใบหน้าของตังละครติดเข้มนิดหน่อย สามารถลดค่า Color ลงมาซัก 2 หน่วย ก็ถ่ายทอดออกภาพมาได้ถูกต้องสมจริงขึ้นมาอีกขั้น

ความสะอาดสะอ้านของภาพเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ UHD TV ตัวนี้ โดยโหมดภาพที่ใช้คือ โหมด Movie ให้แสงสีได้เป็นธรรมชาติ ขับรายละเอียดต่างๆออกมาหมดอยู่แล้ว พวกฟังก์ชั่น Noise Reduction ปิดเรียบ ที่แนะนำให้เปิดก็มีแต่ “Motion Plus” ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นช่วยแทรกเฟรมภาพ เพราะด้วยความที่ทีวีมีเม็ดพิกเซลเยอะประกอบกับขนาดจอที่ใหญ่มาก จะมีการ “ขี้ฟ้อง” เรื่องการแสดงภาพเคลื่อนไหวโดยเฉพาะฉากแพนกล้องหรือตัวละครเคลื่อนไหวไวๆ (พวกจอ 84″ & 85″ จะยิ่งจับผิดง่ายเพราะจอใหญ่ เม็ดพิกเซลใหญ่) การเปิดระดับ “Clear” ก็ถือว่าเพียงพอที่จะทำให้ภาพเคลื่อนไหวราบลื่นขึ้น ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจไม่ว่าจะเป็นฉากกระโดดเป็นลิงของเจ้า Spiderman ฉบับ Mastered in 4K หรือฉากต่อสู้แบบตะลุมบอนใน Marvels The Avengers โดยที่ไม่ถึงกับต้องขยับขึ้นไปสูงถึงระดับ Smooth ที่จะสูญเสียความเป็นธรรมชาติมากจนเกินไป


