07 Aug 2015
Review

รีวิว Sony 65X9300C ทีวีเหนือชั้น ภาพ เสียง ความมันส์ มีให้ครบรส


  • Dear_Sir

ภาพ

“KD-65X9300C มีหน่วยประมวลผลภาพที่สำคัญคือ 4K processor X1 ช่วยให้ Sony TV มีความสามารถในการอัพสเกลภาพจากแหล่งสัญญาณที่มีความละเอียด Full HD มาฉายบนจอความละเอียด UHD ได้อย่างคมชัด อีกทั้งยังส่งผลในเรื่องของการแสดงสีสันของภาพที่ทำให้สดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ” คำพูดดังกล่าวคือสิ่งที่ผมได้รับมาหลังจากร่วมงานแถลงข่าวของ Sony ก่อนเปิดดูภาพจริงก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่ามันจะดีจริงเหมือนที่เคลมมาไว้ในงานแถลงข่าวหรือไม่เพราะอย่างไรรุ่นนี้ก็เป็นถึงรองท็อป ว่าแล้วก็ไม่รอช้าเปิดทดสอบกับภาพยนตร์เรื่อง Batman Dark Knight ทันที สาเหตุที่เลือกเรื่องนี้ก็เพราะว่าฉากส่วนใหญ่จะมืดทำให้สามารถทดสอบเรื่องการทำ Local Dimming และทดสอบการแสดงรายละเอียดภายในที่มืดของทีวีได้ อีกทั้งเรื่องนี้ยังมีหลายฉากที่สามารถทดสอบเรื่องภาพเคลื่อนไหวได้ในตัว อย่างฉากแรกที่มีการโรยตัวของกลุ่มโจรปล้นแบงค์กล้องจะมีการแพนตามตัวละครโดยมีฉากหลังเป็นตึกรามบ้านช่อง หากทีวีทำภาพเคลื่อนไหวได้ไม่ดีตัวละครที่เคลื่อนไหวก็จะมีวุ้น อีกทั้งเส้นตึกต่างๆ ก็จะบิดเบี้ยว  

เรื่องนี้ใช้ทดสอบได้ทั้ง Motion และการแสดงรายละเอียดในที่มืด

หลังจากนั่งดูอยู่พักหนึ่งต้องบอกว่า KD-65X9300C ทำ Local Dimming ได้ดีมาก แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็น EDGE LED ก็ตาม สังเกตได้ว่าปกติแล้ว EDGE LED ทั่วไปมักตกม้าตายตรงทำ Local Dimming เพราะไม่สามารถคุมแสงจาก Backlight ได้ดีพอ แต่กับรุ่นนี้แล้วมันไม่ใช่เลยดูลงตัวเป็นอย่างมากระดับแสงมีการไล่เฉดอย่างเป็นธรรมชาติ มุมไหนที่ไม่มีภาพก็ไม่มีแสงไฟให้เห็น ขอแนะนำเลยว่า Auto Local Dimming ให้เลือกระดับ Middle หรือ High (เพียงแต่ High จะส่งผลกระทบกับรายละเอียดในที่มืดบางฉาก ทว่าระดับความดำก็ดีกว่า ก็ต้องชั่งใจเอาว่าจะเลือกแบบไหน) ด้านภาพเคลื่อนไหวนั้นเท่าที่ทดสอบด้วยตัวเองทั้งเลือกโหมดอัตโนมัติและปรับแต่งแบบ Custom พบว่าได้ผลพอๆ กัน ดังนั้นจึงแนะนำว่าให้เลือกเป็นระดับ Standard หรือ Smooth ส่วนโหมดอื่นๆ ไม่แนะนำเพราะส่งผลต่อระดับความสว่างของภาพ

ค่า Clearness ส่งผลกับระดับความสว่างของภาพ แนะนำว่าไม่ควรเกิน 1 ครับ ค่า Smoothness ส่งผลกับความลื่นไหล

สุดท้ายคือเรื่องของสีสัน ต้องขอชื่นชมว่ารุ่นนี้มีมาตรฐานของขอบเขตสี (Colour space) ให้เลือกด้วยกันหลายแบบตั้งแต่ sRGB/BT.709, DCI, BT.2020, Auto และ Low โดยในจำนวนนี้ที่น่าสนใจมีมาตรฐาน sRGB/BT.709 ที่เป็นแบบเดิม กับ BT.2020 ที่เป็นแบบใหม่ที่ขอบเขตการแสดงสีกว้างกว่า sRGB/BT.709 ซึ่งจากเท่าที่ทดสอบหากใครยังอยากใช้มาตรฐานขอบเขตสีแบบเดิมแต่อยากได้สีที่สดขึ้นก็สามารถไปใช้ฟีเจอร์ Live Colour ช่วยได้ สีที่เป็นแม่สีจะสดอิ่มขึ้นอย่างทันตา ทว่าเมื่อเปิด Live Colour กับขอบเขตสี BT.2020 สีจะเพี้ยนขึ้นทันที

ขอบเขตสีมีให้เลือกใช้หลายแบบ
ภาพตัวอย่างแสดงขอบเขตสีของแต่ละมาตรฐาน

จุดเด่นอีกหนึ่งเรื่องของ KD-65X9300C คือมีฟีเจอร์ Mastered in 4K ฟีเจอร์นี้จะมีให้ใช้เฉพาะในโหมดภาพ Cinema Pro และ Cinema Home เท่านั้น ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้คือช่วยอัพเกรดภาพ ให้มีสะอาดมากขึ้น (ลด Noise) จากเท่าที่ทดสอบการเปิดแผ่นบลูเรย์แบบปกติ และแบบ Mastered In 4K (Spiderman) พบว่าหากเป็นแผ่นบลูเรย์แบบปกติฟีเจอร์นี้ไม่ได้ส่งผลอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นแผ่น Mastered in 4K ภาพจะมีความสะอาดขึ้นระดับหนึ่งจนเห็นได้ด้วยตาขณะที่ความคมชัดยังเท่าเดิม ดังนั้นสำหรับใครที่ซื้อมาแล้วก็ขอแนะนำให้ใช้โหมดภาพอัตโนมัติเป็น Cinema Pro เพราะนอกจากอุณหภูมิสีจะดีแล้ว ยังสามารถเปิดฟีเจอร์ Mastered in 4K ได้ด้วย และจากการทดสอบด้วยการวัดอุณหภูมิสีด้วยเครื่องมือปรับภาพพบว่า Cinema Pro ให้ค่าเท่ากับ 6760K ส่วน Cinema Home ให้ค่าเท่ากับ 6720K ถือว่าสูสีกันมากๆ แตกต่างกันเพียงนิดเดียวเท่านั้น ค่าดังกล่าวสามารถบอกเป็นนัยอีกได้ว่ารุ่นนี้ “ภาพมันดีตั้งแต่โรงงาน” ในเวลาต่อมาทางทีมงานเราได้ทำการปรับภาพดูโดยใช้โหมด Custom เมื่อปรับค่าต่างๆ แล้ววัดอุณหภูมิสีได้อยู่ที่ 6532K ถือว่าต่างกันไม่เยอะมากกับโหมดภาพอัตโนมัติทั้งสองที่ได้แนะนำไป ภาพที่ปรับแล้วจะได้จะส่งผลกับสีแดงเป็นหลัก กล่าวคือสีแดงจะดูสดขึ้นจากของเดิมที่ออกจะเข้มๆ

*รุ่นนี้มีโหมดภาพ HDR อยู่ด้วยครับ ซึ่งถ้าว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วโหมดภาพนี้จะช่วยให้เราได้เห็นถึงส่วนสว่าง และส่วนที่ดำที่สุดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อลองใช้โหมดภาพนี้ดูแล้วภาพกลับไม่ดีเท่าไหร่ เนื่องจากคอนเทนท์ และเครื่องเล่นในปัจจุบันยังไม่มี HDR นั่นเอง การจะใช้ฟีเจอร์ HDR ได้ ทั้งทีวี คอนเทนท์ เครื่องเล่น จะต้องรองรับ HDR ทั้งหมด!!!

ฟีเจอร์ Mastered in 4K จะมีในเฉพาะโหมดภาพ CinemaPro และ Cinema Home
ค่าก่อนปรับภาพจาก อ้างอิงจากโหมด Cinema Pro
ค่าหลังปรับภาพอ้างอิงจากโหมด Custom ดูกราฟแล้วอาจจะเห็นว่าสีแดงจากทึมๆ จะดูสดขึ้น แต่เมื่อดูภาพจริงๆ แล้วต่างกันไม่มากครับ
Picture ModeCTTGammaLuminanceBacklightColorPower
avgavgfL TempW
Vivid152221.01184MaxCool242
Standard99121.47112.430Neutral166
Cinema Pro67602.493.540Expert1144
Cinema Home67202.1815430Expert1210
Sports98781.62150.6MaxNeutral215
Animation99381.53111.330Neutral166
Photo-Custom67302.2994.730Expert1184
Game67102.57123.925Expert1220
Graphics67522.2893.640Expert1215
HDR Video67322.3194.6MaxNeutral241
Custom67322.394.140Expert1215
Custom (calibrated)65322.4660.521Expert1158
ดูดิจิตอลทีวีก็คมชัดแม้จะฉายบนจอขนาด 65นิ้ว ความละเอียด 4K

ทดสอบภาพ 3D

KD-65X9300C ใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพสามมิติแบบ Active ซึ่งขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความคมชัดที่มากกว่าแบบ Passive เมื่อได้ดูภาพจริงๆ ก็สมกับที่เราได้ยินได้ฟังมากัน ความคมชัดของเส้นขอบ ระดับความชัดลึกล้วนทำออกมาได้ดี เพียงแต่จังหวะที่ตัวละคร หรือวัตถุมีการเคลื่อนไหวเร็วๆ จะพบอาการ Cross Talk ติดตามวัตถุที่เคลื่อนไหวเล็กๆ ให้เห็น ถ้าไม่ได้ไปจ้องจับผิดก็สามารถดูได้อย่างเพลินๆ 

*** การชมภาพสามมิติบนเครื่องนี้จะมีเทคนิคพิเศษเล็กน้อย คือเราจะต้องทำการเปิดฟีเจอร์ Motion ด้วย (แนะนำเป็นระดับ Smooth) เพราะไม่อย่างนั้นแล้วภาพจะกระพริบ นอกจากนี้มุมมองของแว่นตาในระดับก้มเงยไม่มีผลต่อภาพ แต่ถ้าเอียงคอซ้ายขวาระดับความสว่างของภาพจะดรอปลง

ความคมนี่ล่ะ ที่เหนือชั้น

ทดสอบภาพ 4K!!

ถึงแม้ว่าคอนเทนท์ความละเอียด 4K ในปัจจุบันจะยังมีน้อย แต่ก็ใช่ว่าเราจะหากันไม่ได้เลยอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือ YouTube และตามเว็บไซต์อื่นๆ ที่เปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้ทดสอบกันอย่างฟรีๆ ก็ยังพอมีอยู่บ้างอย่างในรีวิวนี้ผมก็ได้ใช้ไฟล์ความละเอียด 4K นามสกุล .mkv จากภาพยนตร์เรื่อง Tears of Steel เปิดผ่านช่องต่อ USB 3.0 ใช้ Media Player ของตัวเครื่องในการเล่น เมื่อคอนเทนท์ที่เปิดความละเอียดสูงขึ้น ภาพที่ได้ก็ย่อมมีรายละเอียดสูงตาม หากเทียบระบบการอัพสเกลภาพจาก Full HD ฉายบนจอ VS ภาพจากคอนเทนท์ 4K แท้ๆ ถือว่าต่างกันอยู่ราวๆ 30% – 60% (ขึ้นอยู่กับการบีบอัดความละเอียด) ภาพจากคอนเทนท์ 4K เราจะเห็นไปถึงรูขุมขน ขณะที่แบบ Full HD จะเห็นเพียงแค่หน้าเนียนๆ 

ภาพยนตร์ Tears of Steel