ภาพ
“KD-65X9300C มีหน่วยประมวลผลภาพที่สำคัญคือ 4K processor X1 ช่วยให้ Sony TV มีความสามารถในการอัพสเกลภาพจากแหล่งสัญญาณที่มีความละเอียด Full HD มาฉายบนจอความละเอียด UHD ได้อย่างคมชัด อีกทั้งยังส่งผลในเรื่องของการแสดงสีสันของภาพที่ทำให้สดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ” คำพูดดังกล่าวคือสิ่งที่ผมได้รับมาหลังจากร่วมงานแถลงข่าวของ Sony ก่อนเปิดดูภาพจริงก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่ามันจะดีจริงเหมือนที่เคลมมาไว้ในงานแถลงข่าวหรือไม่เพราะอย่างไรรุ่นนี้ก็เป็นถึงรองท็อป ว่าแล้วก็ไม่รอช้าเปิดทดสอบกับภาพยนตร์เรื่อง Batman Dark Knight ทันที สาเหตุที่เลือกเรื่องนี้ก็เพราะว่าฉากส่วนใหญ่จะมืดทำให้สามารถทดสอบเรื่องการทำ Local Dimming และทดสอบการแสดงรายละเอียดภายในที่มืดของทีวีได้ อีกทั้งเรื่องนี้ยังมีหลายฉากที่สามารถทดสอบเรื่องภาพเคลื่อนไหวได้ในตัว อย่างฉากแรกที่มีการโรยตัวของกลุ่มโจรปล้นแบงค์กล้องจะมีการแพนตามตัวละครโดยมีฉากหลังเป็นตึกรามบ้านช่อง หากทีวีทำภาพเคลื่อนไหวได้ไม่ดีตัวละครที่เคลื่อนไหวก็จะมีวุ้น อีกทั้งเส้นตึกต่างๆ ก็จะบิดเบี้ยว
หลังจากนั่งดูอยู่พักหนึ่งต้องบอกว่า KD-65X9300C ทำ Local Dimming ได้ดีมาก แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็น EDGE LED ก็ตาม สังเกตได้ว่าปกติแล้ว EDGE LED ทั่วไปมักตกม้าตายตรงทำ Local Dimming เพราะไม่สามารถคุมแสงจาก Backlight ได้ดีพอ แต่กับรุ่นนี้แล้วมันไม่ใช่เลยดูลงตัวเป็นอย่างมากระดับแสงมีการไล่เฉดอย่างเป็นธรรมชาติ มุมไหนที่ไม่มีภาพก็ไม่มีแสงไฟให้เห็น ขอแนะนำเลยว่า Auto Local Dimming ให้เลือกระดับ Middle หรือ High (เพียงแต่ High จะส่งผลกระทบกับรายละเอียดในที่มืดบางฉาก ทว่าระดับความดำก็ดีกว่า ก็ต้องชั่งใจเอาว่าจะเลือกแบบไหน) ด้านภาพเคลื่อนไหวนั้นเท่าที่ทดสอบด้วยตัวเองทั้งเลือกโหมดอัตโนมัติและปรับแต่งแบบ Custom พบว่าได้ผลพอๆ กัน ดังนั้นจึงแนะนำว่าให้เลือกเป็นระดับ Standard หรือ Smooth ส่วนโหมดอื่นๆ ไม่แนะนำเพราะส่งผลต่อระดับความสว่างของภาพ
สุดท้ายคือเรื่องของสีสัน ต้องขอชื่นชมว่ารุ่นนี้มีมาตรฐานของขอบเขตสี (Colour space) ให้เลือกด้วยกันหลายแบบตั้งแต่ sRGB/BT.709, DCI, BT.2020, Auto และ Low โดยในจำนวนนี้ที่น่าสนใจมีมาตรฐาน sRGB/BT.709 ที่เป็นแบบเดิม กับ BT.2020 ที่เป็นแบบใหม่ที่ขอบเขตการแสดงสีกว้างกว่า sRGB/BT.709 ซึ่งจากเท่าที่ทดสอบหากใครยังอยากใช้มาตรฐานขอบเขตสีแบบเดิมแต่อยากได้สีที่สดขึ้นก็สามารถไปใช้ฟีเจอร์ Live Colour ช่วยได้ สีที่เป็นแม่สีจะสดอิ่มขึ้นอย่างทันตา ทว่าเมื่อเปิด Live Colour กับขอบเขตสี BT.2020 สีจะเพี้ยนขึ้นทันที
จุดเด่นอีกหนึ่งเรื่องของ KD-65X9300C คือมีฟีเจอร์ Mastered in 4K ฟีเจอร์นี้จะมีให้ใช้เฉพาะในโหมดภาพ Cinema Pro และ Cinema Home เท่านั้น ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้คือช่วยอัพเกรดภาพ ให้มีสะอาดมากขึ้น (ลด Noise) จากเท่าที่ทดสอบการเปิดแผ่นบลูเรย์แบบปกติ และแบบ Mastered In 4K (Spiderman) พบว่าหากเป็นแผ่นบลูเรย์แบบปกติฟีเจอร์นี้ไม่ได้ส่งผลอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นแผ่น Mastered in 4K ภาพจะมีความสะอาดขึ้นระดับหนึ่งจนเห็นได้ด้วยตาขณะที่ความคมชัดยังเท่าเดิม ดังนั้นสำหรับใครที่ซื้อมาแล้วก็ขอแนะนำให้ใช้โหมดภาพอัตโนมัติเป็น Cinema Pro เพราะนอกจากอุณหภูมิสีจะดีแล้ว ยังสามารถเปิดฟีเจอร์ Mastered in 4K ได้ด้วย และจากการทดสอบด้วยการวัดอุณหภูมิสีด้วยเครื่องมือปรับภาพพบว่า Cinema Pro ให้ค่าเท่ากับ 6760K ส่วน Cinema Home ให้ค่าเท่ากับ 6720K ถือว่าสูสีกันมากๆ แตกต่างกันเพียงนิดเดียวเท่านั้น ค่าดังกล่าวสามารถบอกเป็นนัยอีกได้ว่ารุ่นนี้ “ภาพมันดีตั้งแต่โรงงาน” ในเวลาต่อมาทางทีมงานเราได้ทำการปรับภาพดูโดยใช้โหมด Custom เมื่อปรับค่าต่างๆ แล้ววัดอุณหภูมิสีได้อยู่ที่ 6532K ถือว่าต่างกันไม่เยอะมากกับโหมดภาพอัตโนมัติทั้งสองที่ได้แนะนำไป ภาพที่ปรับแล้วจะได้จะส่งผลกับสีแดงเป็นหลัก กล่าวคือสีแดงจะดูสดขึ้นจากของเดิมที่ออกจะเข้มๆ
*รุ่นนี้มีโหมดภาพ HDR อยู่ด้วยครับ ซึ่งถ้าว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วโหมดภาพนี้จะช่วยให้เราได้เห็นถึงส่วนสว่าง และส่วนที่ดำที่สุดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อลองใช้โหมดภาพนี้ดูแล้วภาพกลับไม่ดีเท่าไหร่ เนื่องจากคอนเทนท์ และเครื่องเล่นในปัจจุบันยังไม่มี HDR นั่นเอง การจะใช้ฟีเจอร์ HDR ได้ ทั้งทีวี คอนเทนท์ เครื่องเล่น จะต้องรองรับ HDR ทั้งหมด!!!
Picture Mode | CTT | Gamma | Luminance | Backlight | Color | Power |
avg | avg | fL | Temp | W | ||
Vivid | 15222 | 1.01 | 184 | Max | Cool | 242 |
Standard | 9912 | 1.47 | 112.4 | 30 | Neutral | 166 |
Cinema Pro | 6760 | 2.4 | 93.5 | 40 | Expert1 | 144 |
Cinema Home | 6720 | 2.18 | 154 | 30 | Expert1 | 210 |
Sports | 9878 | 1.62 | 150.6 | Max | Neutral | 215 |
Animation | 9938 | 1.53 | 111.3 | 30 | Neutral | 166 |
Photo-Custom | 6730 | 2.29 | 94.7 | 30 | Expert1 | 184 |
Game | 6710 | 2.57 | 123.9 | 25 | Expert1 | 220 |
Graphics | 6752 | 2.28 | 93.6 | 40 | Expert1 | 215 |
HDR Video | 6732 | 2.3 | 194.6 | Max | Neutral | 241 |
Custom | 6732 | 2.3 | 94.1 | 40 | Expert1 | 215 |
Custom (calibrated) | 6532 | 2.46 | 60.5 | 21 | Expert1 | 158 |
ทดสอบภาพ 3D
KD-65X9300C ใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพสามมิติแบบ Active ซึ่งขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความคมชัดที่มากกว่าแบบ Passive เมื่อได้ดูภาพจริงๆ ก็สมกับที่เราได้ยินได้ฟังมากัน ความคมชัดของเส้นขอบ ระดับความชัดลึกล้วนทำออกมาได้ดี เพียงแต่จังหวะที่ตัวละคร หรือวัตถุมีการเคลื่อนไหวเร็วๆ จะพบอาการ Cross Talk ติดตามวัตถุที่เคลื่อนไหวเล็กๆ ให้เห็น ถ้าไม่ได้ไปจ้องจับผิดก็สามารถดูได้อย่างเพลินๆ
*** การชมภาพสามมิติบนเครื่องนี้จะมีเทคนิคพิเศษเล็กน้อย คือเราจะต้องทำการเปิดฟีเจอร์ Motion ด้วย (แนะนำเป็นระดับ Smooth) เพราะไม่อย่างนั้นแล้วภาพจะกระพริบ นอกจากนี้มุมมองของแว่นตาในระดับก้มเงยไม่มีผลต่อภาพ แต่ถ้าเอียงคอซ้ายขวาระดับความสว่างของภาพจะดรอปลง
ทดสอบภาพ 4K!!
ถึงแม้ว่าคอนเทนท์ความละเอียด 4K ในปัจจุบันจะยังมีน้อย แต่ก็ใช่ว่าเราจะหากันไม่ได้เลยอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือ YouTube และตามเว็บไซต์อื่นๆ ที่เปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้ทดสอบกันอย่างฟรีๆ ก็ยังพอมีอยู่บ้างอย่างในรีวิวนี้ผมก็ได้ใช้ไฟล์ความละเอียด 4K นามสกุล .mkv จากภาพยนตร์เรื่อง Tears of Steel เปิดผ่านช่องต่อ USB 3.0 ใช้ Media Player ของตัวเครื่องในการเล่น เมื่อคอนเทนท์ที่เปิดความละเอียดสูงขึ้น ภาพที่ได้ก็ย่อมมีรายละเอียดสูงตาม หากเทียบระบบการอัพสเกลภาพจาก Full HD ฉายบนจอ VS ภาพจากคอนเทนท์ 4K แท้ๆ ถือว่าต่างกันอยู่ราวๆ 30% – 60% (ขึ้นอยู่กับการบีบอัดความละเอียด) ภาพจากคอนเทนท์ 4K เราจะเห็นไปถึงรูขุมขน ขณะที่แบบ Full HD จะเห็นเพียงแค่หน้าเนียนๆ