Hisense เป็นแบรนด์ใหม่สำหรับประเทศไทย แต่ไม่ใช่แบรนด์น้องใหม่ในโลกเพราะ Hisense ก่อตั้ง ตั้งแต่ปี 1969 พร้อมทั้งเป็นแบรนด์อิเล็คทรอนิคส์อันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะพาร์ทของทีวีก็ยังติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของแบรนด์ทีวีทั่วทั้งโลก และยังตอกย้ำด้วยความเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในประเทศจีนมาต่อเนื่องยาวนานถึง 13 ปี ผลิตภัณฑ์หมวดของทีวีของ Hisense ครบครันไปด้วยเทคโนโลยี คุณภาพ และบริการถึงที่ กรณีมีปัญหาภายในระยะเวลา 3 ปีเต็ม โดยในปี 2016 ที่ผ่านมานั้น Hisense ยังเป็นสปอนเซอร์หลักอย่างเป็นทางการของการแข่งขัน EURO CUP และปัจจุบัน Hisense ได้เป็นสปอนเซอร์หลักอย่างเป็นทางการ ให้กับการแข่งขัน FIFA WORLD CUP 2018 อีกด้วย
หลังจากบุกตลาดโลกมาได้สักพัก ก็ได้เวลาลุยตลาดอาเซียน โดยส่งทีวีหลากรุ่นเข้ามาขายในบ้านเรา ครอบคลุมการใช้งานตั้งแต่จอ 32 นิ้ว ความละเอียด HD ธรรมดา จนมาถึงจอ 65 นิ้วที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ 4K HDR ที่มีชื่อรุ่นว่า 65M5010 ตัวที่เรากำลังจะมารีวิวในวันนี้กัน
จุดเด่นของ Hisense 65M5010
– ความละเอียด 3840×2160 พร้อมฟีเจอร์การแสดงผลแบบ HDR
– รองรับการทำ Local Dimming เพื่อการแสดงผลสีดำที่สมจริง
– สามารถเล่น Netflix และ YouTube ที่ความละเอียด 4K ได้
– ชิพประมวลผล Quad-core processor เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว
– มี Wi-Fi built-in ภายในตัวเครื่อง
ราคา 42,990 บาท >> อ่านสเปคเต็ม <<
ดีไซน์
Hisense เลือกใช้กรอบจอแบบ Metal Frame เป็นโลหะสีเงินมันเงาทำให้ตัวจอดูสวยเท่และแข็งแรงมั่นคง ผิวจอเป็นแบบ Semi-glossy คือเป็นจอกึ่งด้านที่ให้ความคมชัดเหมือนจอกระจก แต่มีอัตราการสะท้อนที่น้อยกว่า
ช่องต่อ
บรรดาช่องปล่อยสัญญาณของ 65M5010 ตัวนี้ถูกเรียงไว้ทางฝั่งซ้ายมือ ถ้ามองจากหน้าจอ หลัก ๆ เลยคือจะมี HDMI จำนวน 4 ช่อง โดย 2 ใน 4 จะรองรับสัญญาณภาพแบบ 4K@60Hz หรือเป็น HDMI 2.0 นั่นเอง นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นช่องสามัญประจำทีวีในยุคปัจจุบันครับ
สรุปช่องต่อทั้งหมดบน Hisense 65M5010
1. HDMI 4 ช่อง (เป็น 2.0 2 ช่องเพื่อรองรับสัญญาณภาพแบบ 4K@60Hz)
2. ช่องเสียบเสาอากาศ (Antenna) 1 ช่อง
3. USB 3 ช่อง (3.0 x1, 2.0 x2)
4. ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
5. ช่องเสียบ Analog In และ Component แบบแยกสี
6. Optical Out
7. LAN
8. Wi-Fi built-in
งานดีไซน์โดยรวมสื่ออารมณ์ถึงความแข็งแรงมั่นคง ไม่บุบสลาย จากการเลือกใช้โลหะมาทำเป็นขอบจอที่เค้าเรียกว่า Metal Frame ผู้บริโภคท่านไหนที่เน้นเรื่องความทนทาน ดูจากงานดีไซน์ทีวีตัวนี้น่าจะตอบโจทย์ของท่านได้เป็นอย่างดีแน่นอน อีกทั้งช่องต่อก็จัดมาให้แบบครบครันพร้อม Wi-Fi ในตัว ไม่ต้องต่ออะแดปเตอร์เพิ่มแต่อย่างใด